รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทยและทั่วโลก แต่การเพิ่มขึ้นของยานพาหนะเหล่านี้ก็นำมาซึ่งความท้าทายใหม่สำหรับผู้ปฏิบัติงานฉุกเฉินด่านหน้า (First Responder) เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีความเสี่ยงและอันตรายที่แตกต่างจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิม บทความนี้จะนำเสนอ 10 เรื่องสำคัญที่ผู้ปฏิบัติงานฉุกเฉินต้องรู้และเข้าใจเพื่อความปลอดภัยในการตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า
1. การระบุยานพาหนะไฟฟ้า (EV Identification)
การระบุยานพาหนะไฟฟ้าอย่างถูกต้องเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากการระบุผิดพลาดอาจนำไปสู่การใช้มาตรการที่ไม่เหมาะสม และก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งปัจจุบันไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรมที่กำหนดเครื่องหมายภายนอกสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

2. ระบุไฟแรงสูงและสายไฟแรงสูง
รถ EV ใช้แบตเตอรี่ 300–800 V กระจายอยู่ใต้พื้น/ชั้นกลางของตัวรถ ซึ่งแรงดันระดับนี้อาจทำให้เกิดไฟไหม้/ไฟดูดถึงชีวิต แม้หลังตัดไฟ 12 V แล้ว แบตเตอรี่หลักยังคงมีประจุอยู่
- สวมถุงมือไฟฟ้าเกรด Class 0 ขึ้นไป, ARC-rated PPE
- ใช้คู่มือ Emergency Response Guide (ERG) ของรุ่นรถหรือ NFPA AFV ERG library เพื่อตำแหน่งวงจรและจุดคัดแยกไฟ

3. การระงับการเคลื่อนไหว (Vehicle Immobilization)
รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเคลื่อนที่โดยไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงานที่อาจไม่ทราบว่ายานพาหนะยังคงติดเครื่องอยู่ การกดคันเร่งโดยไม่ตั้งใจ หรือการรีสตาร์ทอัตโนมัติอาจทำให้ยานพาหนะเคลื่อนที่ทันทีโดยไม่คาดคิด ขั้นตอนการระงับการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องประกอบด้วย
1.การขัดยางล้อ (Wheel Chocking)
2.การดึงเบรกมือและเปลี่ยนเกียร์เป็นตำแหน่ง Park
3.การเอากุญแจหรือ Smart Key ออกไปให้ห่างจากยานพาหนะอย่างน้อย 5 เมตร (16 ฟุต) สำหรับยานพาหนะที่มี Smart Key System การเอากุญแจออกไปให้ไกลเป็นพิเศษสำคัญ เพื่อป้องกันการเริ่มต้นระบบอัตโนมัติ
4. ขั้นตอน “ดับเครื่องยนต์” (Shutdown) อย่างถูกต้อง
กระบวนการตัดการจ่ายไฟ HV มักเรียกว่า isolation หรือ service disconnect ช่วยลดความเสี่ยงไฟฟ้าช็อกและป้องกันถุงลมนิรภัยระเบิดระหว่างช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
- ดับกุญแจ/สวิตช์ และแยกกุญแจให้ห่างจากตัวลดอย่างน้อย 5 เมตร หรือใส่กรงฟาราเดย์
- ตัดขั้วแบตฯ 12 V
- ดึง “first-responder loop” หรือสวิตช์ service disconnect ตามคู่มือรุ่นนั้น ๆ
- รอ 5 นาทีให้ตัวเก็บประจุระบายไฟก่อนเริ่มตัดถ่าง
5. อ่านสัญญาณ Thermal Runaway
Thermal runaway เริ่มจากเซลล์แบตเตอรี่ร้อนเกิน → ปลดปล่อยก๊าซ → เปลวไฟ/การระเบิด ซึ่งกระบวนการอาจปะทุซ้ำได้หลายชั่วโมงแม้ไฟดับไปแล้ว ทำให้อุปกรณ์และผู้ปฏิบัติเสี่ยงบาดเจ็บ สังเกต “ควันที่มีไอเคมี” เสียงเปาะ/ซู่, ฝาครอบยกตัว จัดเขตปลอดภัย 15–30 ม. และเตรียมสายฉีดน้ำความดันต่ำหล่อเย็นแบตฯ ต่อเนื่องประมาณ 20,000 ลิตรขึ้นไป
6.อันตรายจาก “EV Fire Blanket”
NFPA-UL เตือนว่า ผ้าคลุมไฟอาจกักแก๊สติดไฟจนเกิดการเผาไหม้ภายใต้ผืนผ้า ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงระเบิดฉับพลัน เสี่ยงบาดเจ็บต่อผู้ใช้และผู้บาดเจ็บที่ยังติดในรถ ควรเลี่ยงการใช้ Fire Blanket คลุมกับไฟแบตเตอรี่ เลือกใช้เพื่อ ควบคุม เปลวไฟผิว เฉพาะ กรณีแบตเตอรี่ไม่เสียหาย และต้องมีการระบายอากาศเพียงพอ
7. “การลุกไหม้ซ้ำ” และการเฝ้าระวังหลังเหตุ
แบตเตอรี่ที่เสียหายสามารถลุกซ้ำได้หลายชั่วโมงจนถึงหลายวัน โดยมีสถิติจาก “คณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ NTSB” พบเหตุ ลุกไหม้ซ้ำ “re-ignite” ระหว่างลากรถ/เก็บซากหลายครั้ง
- ตรวจสอบอุณหภูมิแบตฯ ด้วยกล้องความร้อน (TIC) ก่อนลากรถไปเก็บซาก
- กำหนดเขตกันไฟอย่างน้อย 15 ม. ในลานพักซาก
8.แก๊สพิษจากแบตเตอรี่ (Toxic Gas Hazards)
ไอระเหยประกอบด้วย Hydrogen Fluoride (HF), Carbon monoxide (CO), Hydrogen Cyanide (HCN) และโลหะหนัก สำหรับแบตเตอรี่ขนาด 100 kWh อาจปลดปล่อย HF ได้ถึง 2-20 กิโลกรัม ซึ่ง Hydrogen Fluoride มีค่า IDLH (Immediately Dangerous to Life or Health) เพียง 30 ppm และสามารถทำลายเนื้อเยื่อได้อย่างรุนแรง เนื่องจากสามารถทะลุผ่านผิวหนังและสร้างความเสียหายต่ออวัยวะภายในได้ ความเข้มข้นทางเคมีอาจสูงกว่าไฟรถทั่วไป เสี่ยงต่อระบบทางเดินหายใจและผิวหนังซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคต่างๆได้ในระยะยาว ต้องใส่ SCBA และ เสื้อผ้า PPE กันสารเคมีระดับ A/B ในระยะแรก, ทำ ชำระล้างสิ่งปนเปื้อน (decon) อุปกรณ์ทุกชิ้นหลังปฏิบัติการ

9.ใส่ช่วยป้องกันอันตรายส่วนบุคคลและ SCBA
สารเคมี กระแสไฟฟ้า รวมถึงเศษวัสดุต่างๆ อาจทำอันตรายต่อชีวิตเจ้าหน้าที่ขณะเผชิญเหตุ จึงต้องส่วมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล Self-Contained Breathing Apparatus (SCBA) และถุงมือฉนวนไฟฟ้าหากต้องทำงานหรือสัมผัสโดยตรงกับระบบไฟแรงสูง
10. การช่วยเหลือผู้ประสบภัย (Victim Rescue Operations)
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในรถยนต์ไฟฟ้าต้องดำเนินการภายใต้ขั้นตอน “Identify, Immobilize and Disable” ก่อนเสมอ การตัดตัวถังยานพาหนะต้องหลีกเลี่ยงส่วนประกอบแรงดันสูง ระบบแอร์แบ็ก และสายไฟสีส้ม
รถยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่มีตัวถังที่แข็งแรงกว่ารถยนต์ธรรมดา และใช้เหล็กกล้าความแข็งแรงสูง (Ultra-High-Strength Steel) มากขึ้น ทำให้เทคนิคการขยับคอลโซนหน้ารถแบบดั้งเดิมอาจมีประสิทธิภาพลดลง ผู้ปฏิบัติงานต้องปรับเทคนิคและใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับโครงสร้างใหม่
การใช้จุดยกและจุดยันมาตรฐานที่กำหนดโดยผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับสายไฟแรงดันสูงหรือส่วนประกอบสำคัญ การใช้เครื่องมือที่ไม่ก่อประกายไฟ เช่น เครื่องตัดไฮดรอลิก เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการลุกไหม้ของแก๊สไวไฟ
Supanan V.
Engineer/Paramedic

อ้างอิง
https://www.usfa.fema.gov/blog/electric-vehicle-charging-stations-enhancing-safety-for-responders-and-the-public/
https://www.usfa.fema.gov/blog/emergency-response-guides-for-electric-vehicles-and-lithium-ion-batteries/
https://www.sae.org/standards/content/j2990_201907/?utm_source=chatgpt.com
https://www.evfiresafe.com/ev-fire-behaviour?utm_source=chatgpt.com
https://www.ntsb.gov/safety/safety-studies/Pages/HWY19SP002.aspx?utm_source=chatgpt.com
https://www.nfpa.org/about-nfpa/press-room/news-releases/2025/notice-highlights-potential-risk-with-electric-vehicle-firefighting-tactic-involving-fire-blankets?utm_source=chatgpt.com

Leave a comment